พัฒนาการทางด้านสังคมสมัยรัตนโกสินทร์
สังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ในระยะแรกๆมีลักษณะเหมือนกับสังคมไทยในสมัยอยุธยาและสมัยธนบุรี
ต่อมามีการติดต่อสัมพันธ์กับชาติตะวันตกมากขึ้น สังคมไทยจึงปรับตัวเข้าสู่ความทันสมัย จนกระทั่งเมื่อไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย สังคมไทยจึงเปลี่ยนแปลงไปภายใต้เสรีภาพที่กำหนดไว้ในขอบเขตของรัฐธรรมนูญ
4.1 ลักษณะสังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ( พ.ศ. 2325-2394 )
สังคมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นยังคงมีลักษณะเช่นเดียวกับสังคมไทยสมัยอยุธยาและสมัยธนบุรี คือยังคง
เป็นสังคมศักดินา นับตั้งแต่พระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ เจ้านาย ขุนนาง ไพร่ ทาส และภิกษุสงฆ์
มีลักษณะ ดังนี้
1) พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขสูงสุดของราชอาณาจักร พระองค์ทรงได้รับยกย่องจากพสกนิกรของพระองค์ว่า พระองค์ทรงมีลักษณะเป็น “สมมติเทพ”ตามลัทธิความเชื่อในศาสนา พราหมณ์-ฮินดู
เป็น “ธรรมราชา” ตามลัทธิความเชื่อในพระพุทธศาสนา
2) พระราชวงศ์ หมายถึง เจ้านาย ซึ่งมีลักษณะเป็นเครือญาติของพระมหากษัตริย์บางทีเรียกว่า
“พระบรมวงศานุวงศ์” ตำแหน่งของพระบรมวงศานุวงศ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ สกุลยศ กับ อิสริยยศ
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สกุลยศมีอยู่ 3 ตำแหน่ง คือ เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า และหม่อมเจ้า
ส่วนอิสริยยศ คือ พระยศเจ้า ที่พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าฯให้เลื่อนขึ้น
อิสริยยศที่สำคัญที่สุด ได้แก่ มหาอุปราช นอกจากนี้การได้รับตำแหน่งทรงกรมก็ถือเป็นอิสรยยศด้วยเหมือนกัน ได้แก่ กรมหมื่น กรมขุน กรมหลวง และกรมสมเด็จพระ
๓) ขุนนาง คือบุคคลที่รับราชการแผ่นดิน มีศักดินา ยศ ราชทินนาม และตำแหน่งเป็นเคื่องชี้บอกถึงอำนาจและเกียรติยศ ถ้าจะกล่าวอีกันยหนึ่งขุนนางก้คือ บรรดาข้าราชการของแผ่นดิน ขุนนางที่มีศักดินา ๔00 ไร่ ขึ้นไปจะได้รับโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ แต่ถ้าศักดินาต่ำกว่า ๔00 ไร่ ลงมา จะได้รับแต่งตั้งจากเสนาบดี ยศของขุนนางมี ๘ ลำดับ จากสูงสุดลงมาจนถึงต่ำสุด คือ สมเด็จเจ้าพระยา เจ้าพระยา พระยา พระ หลวง ขุน หมื่น และพัน
๔) ไพร่ คือ ราษฎรที่เป็นชายฉกรรจ์ที่มีความสูงเสมอไหล่ ๒ ศอกครึ่ง จะ๔กมูลนายเอาชื่อเข้าบัญชีไว้เพื่อเกณฑ์แรงงานไปใช่ในราชการต่างๆ
ไพร่แบ่งเป็นประเภทตามสังกัดได้เป็น ๒ ประเภท
๔.๑) ไพร่หลวง หมายถึง ไพร่ที่พระราชทานแก่กรมกองต่างๆ เป็นไพร่ของพระมหากษัตริย์โดยตรง ไพร่หลวงแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ ไพร่หลวง ที่ต้องมารับราชการตามที่ทางกำหนดให้ หากมาไมได้ต้องให้ผู้อื่นไปแทนหรือส่งเงินมาแทนการรับราชการ และไพร่หลวงที่ต้องเสียเงินแต่ไม่ต้องมารับราชการ เรียกไพร่ประเภทนี้ว่า “ไพร่หลวงส่วย”
๔.๒) ไพร่สม หมายถึง ไพร่ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้แกเจ้านายและขุนนางที่มีตำแหน่งทำราชการเพื่อประโยชน์ เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีเงินเดือน การควบคุมไพร่ของมูลนาย หมายถึง การได้รับผลประโยชน์ตอบแทน เช่น ส่วนลดจากการเก็บเงินค่าราชการของกำนันจากไพร่ เป็นต้น
๕) ทาส หมายถึง บุคคลที่มิได้เป็นกรรมสิทธิ์ในแรงงานและชีวิตของตนเองแต่กลับตกเป็นทาสของนายจนกว่าจะได้รับการไถ่ตัวพ้นจากความเป็นทาส นายมีสิทธิในการซื้อขายทาสได้ลงโทษทุบตีทาสได้ แต่จะให้ถึงตายไม่ได้ ทาสมีศักดินา ๕ไร่ สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ทาสมีหลายประเภท เช่น ทาสสินไถ่ (ทาสไถ่มาด้วยทรัพย์) ลูกทาสที่เกิดในเรือนเบี้ย ทาสที่ได้มาจากข้างฝ่ายบิดามารดา เป็นต้น
๖) พระภิกษุสงฆ์ เป็นผู้สืบทอดพระพุทธสาสนา จึงได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน เป็นที่เคารพนับถือของคนไทยทุกระดับ ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมเด็จพระสังฆราชทรงเป็นประมุขฝ่ายพระสงฆ์ สมเด็จพระสังฆราชจะได้รับสถาปนาจากพระมหากษัตริย์
พระภิกษุสงฆ์จะมีตำแหน่งสูงต่ำลดหลั่นกันไป นับตั้งแต่พะภิกษุสงฆ์ธรรดา พระครู พระราชาคณะ และสูงสุดคือ สมเด็จพระสังฆราชประมุขของคณะสงฆ์และมีศักดินาลดหลั่นกันไปตามลำดับ
๗) ชาวต่างชาติ ที่อาศัยอยู่ในไทยโดยการอพยพหนีภัยมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารหรือถูกกวาดต้อนเข้ามา จัดอยู่ในระบบไพร่ตามกฎหมายศักดินา
กล่าวโดยสรปสภาพสังคมสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีลักษณะเป็นสังคมศักดินาและอยู่ภายใต้พระราชอำนาจสูงสุดของพระมหากษัตริย์ คนในสังคมอาจแบ่งตามลักษณะหน้าที่ความรับผิดชอบและความสัมพันธ์ต่อกันออกเป็น ๒ ประเภท คือ มูลนาย ซึ่งประกอบด้วยเจ้านายและขุนนาง และไพร่ ประกอบด้วยไพร่และทาสมูลนาย คือ ผู้ปกครอง และไพร่ คือ ผู้ถูกปกครองสำหรับพระภิกษุสงฆ์เป็นสถาบันสำหรับสืบทอดพระพุทธศาสนา ไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน พระมหากษัตริย์ ขุนนาง ไพร่ และทาส สามารถบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ได้เหมือนกันทั้งหมด
ลักษณะสังคมไทยในยุคปรับตัวเข้าสู่ความทันสมัย
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ ทรงมีพระราชดำริที่จะปลดปล่อยให้ “ ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน “ ของพระองค์มีอิสระและเกียรติภูมิของความเป็นมนุษย์ของพลเมืองไทย การปลดปล่อยที่สำคัญและได้ยกย่องว่าเป็นพระราชกรณียกิจ ก็คือ การยกเลิกระบบไพร่และทาส
1) การยกเลิกระบบไพร่ เป็นการแปลงสภาพของคนไทยทั้งมวลให้พ้นจากสถานะของไพร่มาเป็นพลเมืองที่สมบูรณ์ เนื่องจากระบบไพร่มีมานาน ร.5 จึงทรงมีพระบรมราโชบายที่จะยกเลิกระบบไพร่ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้เพื่อมิให้เป็นการกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ที่บรรดาพระราชวงค์และขุนนางได้รับจากระบบไพร่
การยกเลิกระบบไพร่ในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังนี้
1.1) การจัดตั้งกรมทหารมหาเล็กรักษาพระองค์ ใน พ.ศ. 2413ทรงจัดตั้งกรมมหาดเล็กรักษาพระองค์ โยทรงเก็บเอาบรรดาพระราชวงค์และบุตรหลานขุนนางที่ถวายตัวทั้งผู้ใหญ่และเด็กเป็นทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์
1.2) การจัดตั้งกรมหน้า พ.ศ.2423โปรดเกล้าให้จัดตั้งกรมทหารหน้า โดยการรับสมัครบรรดาพวกไพร่ที่นายของตนตายหรือสินพระชนม์เป็นทหาร ‘’ ทหารสมัคร ‘’
1.3) การประกาศใช้พระราชบัญญัติทหาร พ.ศ.2431โปรดเกล้าให้ประกาศใช้ ‘’พระราชบัญญัติทหาร’’โดยกำหนดสิทธิหน้าที่ของพลทหารทั้งทหารบก ทหารเรือ พลทหารสมัครจะต้องรับราชการไปจนครบ 10 ปี จึงจะเกษียณอายุ
1.4) การประกาศใช้พระราชบัญญัติจัดการกรมยุทธนาธิการ พ.ศ.2431ทรงประกาศใช้ ‘’ พระราชบัญญัติจัดการกรมยุทธนาธิการ ‘’ มีหน้าที่บังคับผู้คนที่เกี่ยวกับทหารบก ทหารเรือ ตามแบบแผนใหม่
1.5) การจัดระบบจ่ายเงินค่าราชการของไพร่ พ.ศ.2439ได้ประกาศให้บรรดาไพร่หลวงที่ไม่เข้าเดือนประจำการต้องเสียเงินแทนค่แรงปีละ 18 บาท ส่วนไพร่หลวงถ้าไม่ส่งของต้องส่งเงินแทนตั้งแต่ 6 บาท ถึง 12 บาท ตามชนิดของสิ่งของที่ต้องเกณฑ์ส่งและตั้งแต่ พ.ศ.2440 เป็นต้นไป
1.6) การตราพระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์ทหาร พ.ศ.2448โปรดเกล้าให้ตรา ‘’ พระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร ร.ศ. 124 ’’ กำหนดให้ชายฉกรรจ์ทีมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์รับราชการในกองประจำการมีกำหนด 2 ปี แล้วปลดไปอยู่ในกองหนุน ผู้ได้รับราชการทหารในกองประจำการแล้ว
***ดังนั้น การประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์ทหารเมื่อ พ.ศ.2448 จึงถือเป็นการยกเลิกระบบไพร่ที่มีมานานหลายศตวรรษ
2) การเลิกทาส ในการปลดปล่อยทาสให้เป็นอิสระแก่ตนเอง จำเป็นต้องดำเนินการค่อยเป็นค่อยไป การยกเลิกทาสโดยฉับพลันย่อมกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ของกลุ่มคนที่มีทาสอยู่ในความครอบครองตลอดจนความเคยชินของทาสที่เคยมีผู้ปกครองดูแลมาตลอด
2.1)การวางข้อกำหนดเพื่อตระเตรียมการเลิกทาส พ.ศ.2417ได้มีการประกาศให้ผู้เป็นทาสได้ทำการสำรวจจำนวนทาสของตนที่จะเข้าข่ายของเงื่อนไขตามพระราชบัญญัติที่จะออกมาในระยะไล่เลี่ยกัน เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติตามแผนที่วางไว้
2.2) การประกาศใช้พระราชบัญญัติกระเษียรอายุลูกทาส ลูกไทยภายหลังการประกาศแผนการที่เตรียมการเลิกทาสใน พ.ศ. 2417 ก็ได้มีการประกาศใช้ ’’ พระราชบัญญัติกระเษียรอายุลูกทาส ลูกไทย ‘’ซึ่งมีรายละเอียดหลายประการ แต่ที่สำคัญ คือ ถ้าลูกทาสคนใดที่ถูกขายตัวเป็นทาส และเกิด พ.ศ.2411 อันเป็นปีที่ร.5เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นต้นมาจนถึงอายุ 21 ปี ให้พ้นจากการเป็นทาสทันที ส่วนทาสที่เกิดก่อน พ.ศ.2447 ก็ยังคงเป็นทาสต่อไปตามกฎหมายเดิม
2.3) การตราพระราชบัญญัติเลิกทาสในมณฑลต่างๆ ภายหลัง พ.ศ.2417 ใน พ.ศ.2423 ได้มีการตราพระราชบัญญัติเลิกทาสในมณฑลตะวันตกเฉียยงเหนือหรือมณฑลพายัพและประกาศ ‘’ พระราชบัญญัติลดค่าตัวทาสในมณฑลบูรพา ‘’ ส่วนการเลิกทาสในมณฑลไทรบุรีและเมืองกลันตัน ก็ให้เป็นไปตามลักธิศาสนาเมืองนั้นๆ
2.4) การตราพระราชบัญญัติทาสรัตนโกสินทร์ศก 124 พ.ศ. 2448 โปรดเกล้าฯให้ตรา ‘’ พระราชบัญญัติเลิกทาสรัตนโกสินทร์ศก 124 ’’โดยกำหนดหลักการและวิธีการสำคัญๆ ในการปลดปล่อยทาสในมณฑลต่างๆ
ดังนั้น สังคมไทยในสมัยปรับตัวเข้าสู่ความทันสมัย ระบบมูลนายกับไพร่และระบบมูลนายกับทาส จึงยุติลง